ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก
ค้นหา
ค้นหาบล็อกนี้
I love Lisa
ใช้ร่วมกัน
รับลิงก์
Facebook
X
Pinterest
อีเมล
แอปอื่นๆ
สิงหาคม 31, 2562
Home work. บทที่3
บทความเกี่ยวกับเทคโนโลยีการสื่อสารข้อมูล
1.
การสื่อสารไร้สาย
(
อังกฤษ
:
Wireless communication
)
หมายถึงการถ่ายโอนข้อมูลสารสนเทศระหว่างจุดสองจุดหรือมากกว่า โดยไม่ได้เชื่อมต่อกันด้วยตัวนำไฟฟ้า
เทคโนโลยีไร้สายที่พบมากที่สุดใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า เช่นคลื่นวิทยุ ซึ่งอาจใช้ในระยะทางสั้นๆไม่กี่เมตรสำหรับโทรทัศน์ หรือไกลเป็นล้านกิโลเมตรลึกเข้าไปในอวกาศสำหรับวิทยุ การสื่อสารไร้สายรวมถึงหลากหลายชนิดของการใช้งานอยู่กับที่
,
เคลื่อนที่และแบบพกพา ได้แก่ วิทยุสองทาง
,
โทรศัพท์มือถือ
,
ผู้ช่วยดิจิตอลส่วนตัว (
personal digital assistants
หรือ
PDAs)
และ
เครือข่ายไร้สาย
ตัวอย่างอื่น ๆ ของการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีวิทยุไร้สายรวมถึง
GPS,
รีโมตประตูโรงรถ เม้าส์คอมพิวเตอร์ไร้สาย
,
แป้นพิมพ์และชุดหูฟังไร้สาย
,
หูฟังไร้สาย
,
เครื่องรับวิทยุไร้สาย
,
โทรทัศน์ผ่านดาวเทียมไร้สาย
,
เครื่องรับโทรทัศน์ทั่วไปและโทรศัพท์บ้านไร้สาย
2.LAN
(
อังกฤษ
:
Local Area Network
หรือ
LAN)
หรือ
ข่ายงานบริเวณเฉพาะที่
เป็นการเชื่อมโยงเครือข่าย
คอมพิวเตอร์
ถึงกันทั้งหมดโดยอาศัยสื่อกลาง มีการแบ่งแยกเครือข่ายออกเป็น
2
รูปแบบการเชื่อมโยงคือ การเชื่อมโยงภายในพื้นที่ระยะใกล้หรือ แลน (
LAN)
และการเชื่อมโยงระยะไกลหรือ
แวน
(WAN)
โดยการเชื่อมโยงเครือข่ายแบบแลน มี
3
รูปแบบ คือ
1.
Bus
มีการรับส่งข้อมูลด้วยความเร็ว
10-100 MB/s
จะเชื่อมต่อกันบนสายสัญญาณเส้นเดียวกัน โดยจะมีอุปกรณ์ที่เรียกว่า
T-Connector
เป็นตัวแปลงสัญญาณข้อมูลเพื่อนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์และ
Terminator
ในการปิดหัวท้ายของสายในระบบเครือข่ายเพื่อดูดซับข้อมูลไม่ให้เกิดการสะท้อนกลับของสัญญาณ
2.
Star
เป็นระบบที่มีเป็นการต่อแบบรวมศูนย์ โดยเครื่องคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องจะต่อสายเข้าไปที่อุปกรณ์ที่เรียกว่า
Hub
หรือ
Switch
โดยอุปกรณ์ที่เรียกว่า
Hub
หรือ
Switch
จะทำหน้าที่เปรียบศูนย์กลางที่ทำหน้าที่กระจายข้อมูล โดยข้อดีของการต่อในรูปแบบนี้คือ หากสายสัญญาณเกิดขาดในคอมพิวเตอร์เครื่องใดเครื่องหนึ่ง เครื่องคอมพิวเตอร์อื่นๆจะสามารถใช้งานได้ปรกติ แต่หากศูนย์กลางคือ
Hub
หรือ
Switch
เกิดเสียจะทำให้ระบบทั้งระบบไม่สามารถทำงานได้ทั้งระบบ
3.
Ring
เป็นระบบที่มีการส่งข้อมูลไปในทิศทางเดียวกัน โดยจะมีเครื่อง
Server
หรือ
Switch
ในการปล่อย
Token
เพื่อตรวจสอบว่ามีเครื่องคอมพิวเตอร์ใดต้องการส่งข้อมูลหรือไม่และระหว่างการส่งข้อมูลเครื่องคอมพิวเตอร์อื่นๆที่ต้องการส่งข้อมูลจะต้องทำการรอให้ข้อมูลก่อนหน้านั้นถูกส่งให้สำเร็จเสียก่อน
ข้อดีของระบบ
LAN
3.WAN
หรือ
ข่ายงานบริเวณกว้าง
(
อังกฤษ
:
Wide area network
หรือ
WAN)
คือ ข่ายงานที่อยู่ห่างไกลกันมาก อาจจะอยู่ระหว่างเมือง หรือระหว่างประเทศ เช่น การเชื่อมต่อเครือข่ายของสำนักงานสาขาย่อยเข้ากับเครือข่ายของสำนักงานใหญ่ที่อยู่ห่างกันไกล อาจจะอยู่กันคนละที่หรือคนละเมืองกัน แต่ติดต่อกันด้วยระบบการสื่อสารทางไกลความเร็วสูง หรือโดยการใช้การส่งสัญญาณ ผ่านดาวเทียมเพื่อเชื่อมโยงคอมพิวเตอร์ให้ติดต่อถึงกันได้ ข่ายงานแต่ละข่ายงานจะอยู่ห่างกันประมาณ
2
ไมล์ซึ่งไกลกว่า ข่ายงานบริเวณเฉพาะที่
แลน
ที่อาจอยู่ภายในอาคารหรือบริเวณมหาวิทยาลัยเดียวกัน
แวนไร้สาย
(wireless wide area network)
ข่ายงานบริเวณกว้างไร้สาย
ใยแก้วนำแสง
หรือ
ออปติกไฟเบอร์
หรือ
ไฟเบอร์ออปติก
เป็นแก้วหรือพลาสติกคุณภาพสูง ยืดหยุ่นโค้งงอได้ เส้นผ่าศูนย์กลางเพียง
8-10
ไมครอน
(10
ไมครอน =
10
ในล้านส่วน
ของเมตร =
10x10^-6=0.00001
เมตร =
0.01
มม.) เล็กกว่าเส้นผมที่มีขนาด
40-120
ไมครอน
,
กระดาษ
100
ไมครอน
ใยแก้วนำแสงทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการส่งแสงจากด้านหนึ่งไปอีกด้านหนึ่ง ด้วยความเร็วเกือบเท่าแสง เมื่อนำมาใช้ในการสื่อสารโทรคมนาคม ทำให้สามารถส่ง-รับข้อมูลได้เร็วมาก ได้ระยะทางได้เกิน
100
กม.ในหนึ่งช่วง และเนื่องจากแสงเป็นตัวนำส่งข้อมูล ทำให้สัญญาณแม่เหล็กไฟฟ้าภายนอก ไม่สามารถรบกวนความชัดเจนของข้อมูลได้ ใยแก้วนำแสงจึงถูกนำมาใช้แทนตัวกลางอื่นๆในการส่งข้อมูล
4.
เครือข่ายแบบดาว (
Star Network)
เป็นวิธีการที่นิยมใช้เชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ขนาดเล็กเข้ากับคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่
(Host Computer)
ซึ่งจะใช้เป็นเครื่องศูนย์กลาง และต่อสายไปยังคอมพิวเตอร์หรือเทอร์มินัลตามจุดต่างๆ แต่ละจุดเปรียบได้กับแต่ละแฉกของดาวนั่นเอง
ในการต่อแบบนี้ คอมพิวเตอร์แต่ละตัวจะถูกต่อเข้ากับคอมพิวเตอร์ศูนย์กลางโดยตรง จึงไม่มีปัญหาการแย่ง การใช้สายสื่อสาร จึงทำให้มีการตอบสนอง
ที่รวดเร็วการส่งข้อมูลแต่ละสถานี (เครื่องคอมพิวเตอร์ย่อยๆ) ก็จะส่งไปยังเครื่องคอมพิวเตอร์ศูนย์กลางก่อนแล้วตัวเครื่องคอมพิวเตอร์ศูนย์กลางนี้จะเป็นผู้ส่งไป
ยังสถานีอื่นๆ การควบคุมการรับส่งภายในระบบทั้งหมดจะขึ้นอยู่กับเครื่องคอมพิวเตอร์ศูนย์กลางดังนั้นถ้าเครื่องศูนย์กลางมีปัญหาขัดข้องก็จะทำให้
ระบบทั้งระบบต้องหยุดชะงักทันที
5.
เครือข่ายแบบวงแหวน (
ring topology)
เป็นลักษณะการเชื่อมต่อแบบจุดต่อจุดเช่นเดียวกับแบบดาว โดยสถานีแต่ละสถานีจะต่อกับสถานีที่อยู่ติดทั้งสองข้างของตนเอง และทุกสถานีมีเครื่องขยายสัญญาณของตัวเอง โดยจะมีการเชื่อมโยงเครื่องขยายสัญญาณของแต่ละสถานีเข้าด้วยกันเป็นวงแหวน สัญญาณข้อมูลจะส่งอยู่ในวงแหวนแบบจุดต่อจุดไปในทิศทางเดียวกันจนถึงผู้รับภายในเวลาที่กำหนด โดยเครื่องขยายสัญญาณเหล่านี้จะมีหน้าที่ในการรับข้อมูลจากเครื่องคอมพิวเตอร์ของตัวเองหรือจากเครื่องขยายสัญญาณตัวก่อนหน้า
และส่งข้อมูลต่อไปยังเครื่องขยายสัญญาณตัวถัดไปเรื่อย ๆ เป็นวง หากข้อมูลที่ส่งเป็นของสถานีใด เครื่องขยายสัญญาณของสถานีนั้นก็รับและส่งให้กับสถานีนั้น จึงต้องมีการตรวจสอบข้อมูลที่ได้รับว่าเป็นของตนหรือไม่ ถ้าใช่ก็รับไว้ ถ้าไม่ใช่ก็ส่งต่อไป
อีกทั้งสามารถตรวจสอบความผิดพลาดในการส่งด้วยโดยกรณีที่เครื่องรับปลายทางไม่ได้รับสัญญาณข้อมูลในเวลาที่กำหนด จะมีการแจ้งว่าเกิดความผิดพลาดในเครือข่ายได้
ข้อดีคือ ใช้สายเคเบิลน้อย และสามารถตัดเครื่องที่เสียออกจากระบบได้ ทำให้ไม่มีผลต่อระบบเครือข่าย ข้อเสียคือหากมีเครื่องที่มีปัญหาอยู่ในระบบจะทำให้เครือข่ายไม่สามารถทำงานได้เลย และการเชื่อมต่อเครื่องเข้าสู่เครือข่ายอาจต้องหยุดระบบทั้งหมดลงก่อน
6.
ระบบ
3G
คืออะไร
คำตอบ เราคงเคยได้ยินคำว่า
3G
มากันสักระยะหนึ่งแล้ว แต่หลายคนยังไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าระบบ
3G
ที่ได้ยินกันบ่อยๆนั้น คือ ระบบอะไร ดังนั้น ก่อนที่เราจะกล่าวถึงปัญหาของระบบ
3G
ในประเทศไทย เรามาทำความรู้จักกันก่อนว่า ระบบ
3G
หมายความว่าอย่างไร กล่าวคือ ระบบ
3G
คือ ระบบโทรศัพท์เคลื่อนที่ในยุคที่สาม (
Third Generation of Mobile Telephone – 3G)
ซึ่งมี สหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ หรือ
ITU (International Telecommunication Union)
ซึ่งเป็นองค์กรชำนาญพิเศษแห่งสหประชาชาติ ทำหน้าที่ในการให้คำแนะนำตลอดจนวางหลักเกณฑ์ในบริหาร และการกำกับดูแลกิจการโทรคมนาคมให้กับประเทศต่างๆที่เป็นสมาชิกทั่วโลก โดยมีแนวทางในการวางหลักเกณฑ์ทางการบริหารทรัพยากรด้านโทรคมนาคมของแต่ละประเทศสมาชิก เพื่อให้เป็นไปแนวทางเดียวกัน
7.Bus
มีการรับส่งข้อมูลด้วยความเร็ว
10-100 MB/s
จะเชื่อมต่อกันบนสายสัญญาณเส้นเดียวกัน โดยจะมีอุปกรณ์ที่เรียกว่า
T-Connector
เป็นตัวแปลงสัญญาณข้อมูลเพื่อนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์และ
Terminator
ในการปิดหัวท้ายของสายในระบบเครือข่ายเพื่อดูดซับข้อมูลไม่ให้เกิดการสะท้อนกลับของสัญญาณ
8.1G
เริ่มตั้งแต่
1G …
ซึ่งเป็นยุคที่ใช้ระบบ
Analog
คือใช้สัญญาณวิทยุในการส่งคลื่นเสียง โดยไม่รองรับการส่งผ่านข้อมูลใดๆทั้งสิ้นซึ่งนั่นก็หมายความว่าสามารถใช้งานทางด้าน
Voice
ได้อย่างเดียว คือ โทรออก-รับสาย เท่านั้น ไม่มีการรองรับการใช้งานด้าน
Data
ใดๆ ทั้งสิ้น แม้แต่การรับ-ส่ง
SMS
ก็ยังทำไม่ได้ในยุค
1G
แต่จริงๆแล้ว
…
ในยุคนั้น ผู้บริโภคก็ยังไม่มีความต้องการในการใช้งานอื่นๆ นอกจากเสียง (
Voice)
อยู่แล้ว โดยปริมาณผู้ใช้โทรศัพท์มือถือยังอยู่ในขอบเขตที่จำกัดมาก และจะพบว่าผู้ใช้มักจะเป็นนักธุรกิจที่มีรายได้สูงเสียส่วนใหญ่
9. 2G
หลังจากนั้น ก็ได้พัฒนาต่อมาเป็นยุค
2G …
ซึ่งเปลี่ยนจากการส่งคลื่นทางคลื่นวิทยุแบบ
Analog
มาเป็นการเข้ารหัส
Digital
ส่งทางคลื่น
Microwave
ซึ่งในยุคนี้เอง เป็นยุคที่เริ่มทำให้เราเริ่มที่จะสามารถใช้งานทางด้าน
Data
ได้ นอกเหนือจากการใช้งาน
Voice
เพียงอย่างเดียว ในยุค
2G
นี้
…
เราสามารถ รับ-ส่งข้อมูลต่างๆและติดต่อเชื่อมโยงได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นเรื่อยๆ จนเกิดการกำหนดเส้นทางการเชื่อมกับสถานีฐาน หรือที่เรียกว่า
cell site
และก่อให้เกิดระบบ
GSM (Global System for Mobilization)
ซึ่งทำให้เราสามารถถือโทรศัพท์เครื่องเดียวไปใช้ได้เกือบทั่วโลก หรือที่เรียกว่า
Roaming
ยุค
2G
นี้ ถือเป็นยุคเริ่มต้นแห่งการเฟื่องฟูของโทรศัพท์มือถือเลย
…
ราคาของโทรศัพท์มือถือเริ่มต่ำลง (กว่ายุค
1G)
ทำให้ปริมาณผู้ใช้โทรศัพท์มือถือมีมากขึ้น ซึ่งการส่งข้อมูลของยุค
2G
นี้ เป็นยุคที่มีการเริ่มฮิต
Download Ringtone , Wallpaper , Graphic
ต่างๆ แต่ก็จะจำกัดอยู่ที่การ
Downlaod Ringtone
แบบ
Monotone
และ ภาพ
Graphic
ต่างๆก็เป็นเพียงแค่ภาพขาว-ดำที่มีความละเอียดต่ำเท่านั้น
10.
ระบบ
4G
จะให้ความเร็วในการรับส่งข้อมูลสูงถึง
1Gbps (1,000Mbps)
ทำให้อุปกรณ์พกพาทุกชนิดไม่ว่าจะเป็นโทรศัพท์มือถือแบบ
Smartphone, tablet
หรือ
notebook computer
สามารถเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ทด้วยความเร็วสูงอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
ข้อดี
1.
ลดเวลาในการทำงานลง
2.
ประหยัดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน
3.
ในความบันเทิงแก่ผู้ใช้งาน
4.
ใช้ค้นหาความรู้ได้
5.
ใช้เป็นสื่อในการเรียนการสอน
ข้อเสีย
1.
ทำให้เกิดขยะของเทคโนโลยีเพิ่มขึ้น
2.
ทำให้ไม่เกิดการออกกำลังกาย
3.
ทำให้มีการหลอกลวงเพิ่มขึ้น
4.
การใช้งานมากๆทำให้ลืมเทคโนโลยีสมัยเก่าลง
5.
มีการเปลี่ยนเทคโนโลยีไปมากทำให้ตามไม่ทัน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น